ถ้าพบว่าลูกเป็นโรคสมาธิสั้น อย่าปล่อยผ่าน

ถ้าครอบครัวไหนรู้แล้วว่าลูกของคุณเป็นโรคสมาธิสั้นอย่าละเลยหรือปล่อยผ่าน เพราะนั่นอาจจะส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ และความคิดที่ไม่ดีต่อลูกในอนาคตได้ วันนี้เรามาดูกันว่ามีปัจจัยใด หรือผลกระทบใดบ้าง ที่ส่งผลต่อเด็กสมาธิสั้นในอนาคต

ทางการแพทย์อธิบายไว้ว่าโรคสมาธิสั้น หรือ Attention Deficit Hyperactivity Disorder (ADHD) เกิดขึ้นจากความผิดปกติสารเคมีในสมอง Prefrontal cortex ซึ่งทำหน้าที่คอบควบคุมสมาธิ พฤติกรรม การวางแผน การตัดสินใจ และการยับยั้งชั่งใจ เมื่อสารเคมีในส่วนนี้ผิดปกติ จะส่งผลกระทบให้ลูกกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น เช่น ขาดสมาธิ ขี้ลืม อยู่นิ่งไม่ได้ หุนหันพลันแล่น เป็นต้น

นอกจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองแล้ว มีปัจจัยอื่นที่อาจจะเกี่ยวข้องกับอาการสมาธิสั้นได้อีก เช่น สิ่งแวดล้อม พันธุกรรม สารตะกั่ว คลอดก่อนกำหนด แม่ที่สูบบุหรี่ในขณะที่ตั้งครรภ์ ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ของการตั้งครรภ์และการคลอด

เมื่ออาการสมาธิสั้นเกิดกับเด็กที่อยู่วัยเรียน จะทำให้เด็กสมาธิสั้นมีปัญหาในการเรียน ทำให้เรียนได้ไม่เต็มศักยภาพ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา จะส่งผลให้ลูกมีผลการเรียนแย่ลง  แต่ก็มีบางกรณีที่เด็กเป็นโรคสมาธิสั้นได้รับการรักษา บวกกับตัวเด็กมีความความฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เด็กก็จะเรียนได้ดี มีผลการเรียนที่ดี

ถ้าพบว่าลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น อย่าปล่อยผ่านหรือละเลย ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อลูกในอนาคต ทำให้เป็นเด็กเรียนหนังสือไม่มีสมาธิ ผลการเรียนตกต่ำ อยู่นิ่งๆไม่ได้ มีปัญหาในเรื่องของการยับยั้งชั่งใจ แต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีก็อาจจะทำให้อาการสมาธิสั้นของลูกเบาลงได้ และดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถหายได้เป็นปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ผสานกับการรักษาทางการแพทย์ ทางที่ดีลองส่งลูกมาเข้าคอร์สฝึกสมาธิสั้นกับ สถาบัน BrainFit Studio เพราะที่นี่มีหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นโดยเฉพาะ คุณจะเห็นถึงพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่ดีของลูกคุณได้อย่างแน่นอน